สืบเนื่องจากศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ประกาศยกระดับล็อกดาวน์ขั้นสูงสุดในพื้นที่สีแดงเข้มควบคุมสูงสุดและเข้มงวด เพิ่มเป็น 13 จังหวัด จากประกาศเดิม 10 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร, นครปฐม, นนทบุรี, ปทุมธานี, สมุทรปราการ, สมุทรสาคร, นราธิวาส, ปัตตานี, ยะลา, สงขลา เพิ่มอีก 3 จังหวัด คือ ฉะเชิงเทรา, ชลบุรี, พระนครศรีอยุธยา คณะรัฐมนตรี จึงเห็นชอบในหลักการเยียวยา ตามที่ สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) นำเสนอ
ทั้งนี้การเยียยา 3 จังหวัด (ฉะเชิงเทรา, ชลบุรี และพระนครศรีอยุธยา) ที่เพิ่มเข้ามา จะได้รับเงินเยียวยาภายหลังจากคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้พิจารณาแล้ว จากนั้นต้องนำกลับเข้ามาให้คณะรัฐมนตรี รับทราบอีกรอบ
9 กิจการที่ได้รับสิทธิเงินเยียวยา
- กิจการก่อสร้าง
- กิจการที่พักแรงบริการด้านอาหาร
- กิจกรรมศิลปะ ความบันเทิงและนันทนาการ
- กิจกรรมบริการด้านอื่น ๆ
- สาขาการขนส่งและสถานที่เก็บสินค้า
- สาขาขายส่งและการขายปลีก การซ่อมยานยนต์
- สาขากิจกรรมการบริหารและบริการสนับสนุน
- สาขากิจกรรมวิชาชีพ วิทยาศาสตร์และกิจกรรมทางวิชกาการ
- สาขาข้อมูลข่าวสารและการสื่อสาร
รายละเอียดการจ่ายเงินเยียวยา ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มผู้ประกันตน มาตรา 33, 39 หรือ 40 ต่างต้องรับเงินผ่านช่องทางเดียวกัน คือ “พร้อมเพย์” โดยสำหรับผู้ที่อยู่ในระบบอยู่แล้ว ไม่ต้องมายื่นเอกสารเพิ่มเติม เพราะรัฐ โดย ประกันสังคม มีฐานข้อมูลอยู่แล้ว
สิ่งที่ต้องทำมีอย่างเดียว คือ ต้องเปิดบัญชี “พร้อมเพย์” ที่ผูกกับ “บัตรประชาชน” เท่านั้น ห้ามผูกบัญชีกับหมายเลขโทรศัพท์มือถือ เพื่อรอรับเงินเยียวยาตามสิทธิ์
ผู้ประกันตนรายเก่า ที่อยู่ในประกันสังคมาตรา 39 และมาตรา 40 อยู่แล้ว ตั้งแต่ก่อนประกาศมาตรการวันที่ 28 มิ.ย. 64 หากมีคุณสมบัติครบตามที่มาตรการกำหนด จะมีสิทธิ์ได้รับ “เงินเยียวยา 5,000” อัตโนมัติ ไม่ต้องลงทะเบียนหรือไปที่สำนักงานประกันสังคม เพียงแค่ “ผูกพร้อมเพย์ด้วยบัตรประชาชน”
แต่สำหรับ ผู้ประกอบ “อาชีพอิสระ” ที่ยังไม่ได้อยู่ในประกันสังคมมาตราใดเลย จะต้องสมัครเป็นผู้ประกันตนมาตรา 40 ภายใน 30 ก.ค. 64 ก่อน จึงจะมีสิทธิ์ได้รับเงินเยียวยา ซึ่งสามารถสมัครได้ที่ ร้านเซเว่น อีเลฟเว่นทุกสาขา บิ๊กซี ธกส. เครือข่ายประกันสังคม หรือเข้าไปสมัครในเว็บไซต์ www.sso.go.th โดยใช้หลักฐานแค่บัตรประชาชนเท่านั้น